BY Psi Drakaz
Whispering Words
Chapter 2 : Whispering Words
by Psi Drakaz
Luxia’s Story
“ในโลกที่ท่านสร้างขึ้น เราจะไม่ตั้งคำถาม
ในโลกที่ท่านสร้างขึ้น เราจะตั้งใจทำตาม
เมื่อท่านสร้างทุกสิ่ง เราขอเคารพทุกชั่วยาม
ข้าพเจ้าในโลกทั้งสาม ขอถวายความภักดี”
ในโลกที่สิ้นหวัง เป็นธรรมดาที่การมองหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องทำ
เพราะไม่ว่าใคร ทั้งเหล่าผู้เยาว์วัยหรือผู้เฒ่าผู้แก่ใด ๆ ต่างก็ต้องพึ่งพาบางสิ่ง
ที่จะทำให้จิตใจตัวเองไม่สั่นคลอนอยู่แล้วทั้งนั้น ความเชื่อจึงเป็นเรื่องที่อยู่กับทุกคน
และเมื่อมีความเชื่อด้านหนึ่ง ย่อมมีความเชื่อของอีกด้านหนึ่งเสมอ ...
หลังจากที่ลูเซียได้พบกับเหตุการณ์ในสวนดอกไม้แห่งนั้น ทำให้เธอหวาดกลัว
และไม่กล้าออกจากห้องไประยะหนึ่ง
คุณครูใหญ่ ได้เข้ามาหาเธอพร้อมกับสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
เพราะเธอเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ที่ตึกเก่าแห่งนั้น ก่อนที่ประตูจะเปิดออก
แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใด ๆ กลับมา
เพราะลูเซียไม่พูดอะไรกับใครเลย
“ถ้าเมื่อไรจิตใจอ่อนแอ อ่อนไหว หรือหวาดกลัวสิ่งใด
นึกถึง ท่าน เอาไว้นะลูเซีย” ครูใหญ่พูดก่อนจะเดินจากไป
ลูเซียยังคงสงสัยและซ่อนกิ๊บติดผมเอาไว้ เรื่องราวของตึกเก่า และสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เด็กคนอื่น ๆ ต่างหวาดกลัวเธอมากขึ้น จนทำให้ลูเซียรู้สึกแปลกแยกมากขึ้นกว่าเดิม
ตกดึกคืนนั้น เธอได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เสียงของเอ ที่ดังก้องอยู่ในหัวของเธอ
“สวัสดีเอวา” ลูเซียรู้สึกตัวขึ้น และพบว่าเธอยืนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้อีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ค่อนข้างสงบ ไม่มีลมพัดรุนแรง พระจันทร์ส่องสว่าง
สาดแสงลงมาให้เห็นทะเลสาบอยู่ไกลออกไป มันงดงามจนเธอยืนตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ
ก่อนที่จะรู้สึกตัวและ พยายามวิ่งหนี หาทางออกอย่างไร้จุดหมาย
“ใจเย็น ๆ ก่อนสิ ขอโทษที่ทำให้เธอตกใจนะ ไม่ต้องกลัวไป ฉันเป็นเพื่อนของเธอ
เราเป็นเพื่อนกันนะ ใช่ไหม ?”
เสียงของเอที่เย็นยะเยือนเริ่มกลับมาเป็นมิตรมากขึ้น
“คุณเป็นใคร ? ที่นี่ที่ไหน ? และมันเกิดอะไรขึ้น ? พาฉันกลับไปได้ไหม ?”
ลูเซียกระหน่ำถามคำถามมากมายกับเอ ความสงสัยที่เก็บเอาไว้ถูกระบายออกไม่หยุดหย่อน
“ที่นี่คือฉันเอง ฉันคือที่นี่ และไม่ต้องกลัวไป ฉันจะไม่ทำอะไรเธอ เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
เอตอบด้วยเสียงที่เป็นมิตร ทำให้ลูเซียเริ่มตั้งสติได้ และลดความหวาดกลัวลง
“เธอจะเรียกว่าเป็นความฝันก็ได้นะ ฉันอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้วล่ะ
และฉันก็อยู่ในหัวของเธอด้วย ขอโทษที่ทำให้เธอตกใจนะ”
“นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม ? หรือว่านี่คือความฝัน ?” ลูเซียถาม พลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
พระจันทร์ช่างสวยเหลือเกิน ขนาดของพระจันทร์ใหญ่จนทำให้คิดว่ามันสามารถเข้ามาชนที่นี่ได้
“เรื่องนั้น ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะมองว่าเป็นอย่างไร สิ่งที่เธอต้องทำก็แค่ … เชื่อมั่นในตัวเอง”
คำตอบของเอทำให้ลูเซียสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
“ที่นี่ต้อนรับเธอเสมอ เธอจะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ มันจะทำให้เธอผ่อนคลาย
และมันจะจำเป็นกับเธอในวันหนึ่ง ติดกิ๊บนั่นไว้สิ มันจะทำให้เธอมาที่นี่ และออกไปจากที่นี่ได้
เพียงแค่เธอนึกถึงฉัน”
“นะ … นี่คือเวทมนตร์ใช่ไหม คุณเป็นปีศาจหรือเปล่า ? ถ้าฉันเป็นเพื่อนกับคุณ
ฉันจะต้องทำสัญญาและแลกกับบางสิ่งใช่ไหม ?” ลูเซียถามด้วยความกลัวและไร้เดียงสา
“ทำสัญญาเหรอ ฮ่าๆๆๆ ฉันว่าเธอฟังเรื่องราวผิด ๆ มามากไปหน่อยแล้วล่ะ อาจจะมีก็ได้นะ
แต่ฉันไม่ใช่ปีศาจอะไรหรอก … ส่วนนี่เรียกว่าเวทมนตร์ไหม … ฉันตอบไม่ได้หรอก
เอาเป็นว่า ฉันคือ เพื่อน ของ เธอ เท่านี้ก็พอ”
“ทำไมถึงไม่มีใครมาที่นี่ ประตูนั่นถูกลงกลอนไว้จริง ๆ ใช่ไหม ?” ลูเซียยังไงถามต่อไปไม่หยุด
จนเอ เริ่มรู้สึกขำขันกับความไร้เดียงสาของลูเซีย
“ฉันจะค่อย ๆ เล่าเรื่องให้เธอฟัง เรื่องที่เธอสงสัยทั้งหมด ฉันไม่ได้ต้องการอะไรจากเธอ
ฉันแค่อยากช่วยเธอ เพราะเธอก็มีความต้องการแบบเดียวกับกับฉันเท่านั้นเอง … ”
เอพยายามพูดให้ลูเซียใจเย็นลง
ลูเซียจับที่ผมของตัวเองและพบว่ามีกิ๊บติดอยู่ กิ๊บที่เธอพยายามซ่อนเอาไว้
“พยายามอย่าถอดมันล่ะ ถือซะว่าเป็นตัวแทนมิตรภาพของเรา
มันคือดอก Forget me not แปลง่าย ๆ ก็คือ อย่า ลืม ฉัน ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง
เพื่อตอบคำถามสารพัดที่เธอมีอยู่ยังไงล่ะ แต่ตอนนี้เธอควรตื่นได้แล้วนะ ”
ลูเซียลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองอยู่บนเตียง มีกิ๊บติดอยู่ที่ผมของเธอ
เวลาผ่านไปเธอก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แม้ว่าผู้คนในโรงเรียน
จะยังคงมีความหวาดกลัวเธอจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่ได้ใส่ใจมาก
และพยายามที่จะมองข้ามเรื่องต่าง ๆ ไป แต่ก็ยังมีเด็กบางคนที่เข้าหา และเป็นเพื่อนกับเธอ
ในทุกคืนเธอจะฝันว่าได้อยู่ในสวนแห่งนั้น ได้นั่งพักผ่อน พลางพูดคุยกับเอมากขึ้น
ทั้งคู่เริ่มสนิทกันมากขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าลูเซียจะเริ่มคุ้นชินกับบางสิ่งบางอย่างที่แปลก ๆ
และดูเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอสามารถจิบชาในสวนแห่งความฝันได้
หรือการที่ทะเลสาบสามารถสะท้อนดวงดาวต่าง ๆ บนท้องฟ้าให้เธอเห็นได้ง่ายขึ้น
หรือการที่ดูเหมือนว่า เวลาจะเดินช้าลงมากที่สวนแห่งนี้
ลูเซียกับเอ ต่างก็ไม่ลืมที่จะพูดคุยและถาม-ตอบ สิ่งต่าง ๆ ระหว่างกัน
เอ อธิบายและเล่าเรื่องราวของเขา รวมไปถึงฝึกให้ลูเซียใช้จินตนาการ ในสวนแห่งความฝันนี้
หรือต่างถกเถียงกันเรื่องสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ความนึกคิด และเรื่องของความเชื่อ
ลูเซียและเอต่างไม่เชื่อใน “ท่าน” สิ่งที่โรงเรียนแห่งนี้คอยปลูกฝัง
และห้ามที่จะตั้งคำถามกับเรื่องราวต่าง ๆ นั่นยิ่งทำให้ลูเซียเบื่อหน่าย
และอยากที่จะออกไปจากโรงเรียนแห่งนี้
“จะเป็นอย่างไร ถ้า ท่าน ที่ว่า ไม่มีอยู่จริง
เราจะสามารถสร้าง นรก หรือ สวรรค์ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเองไหม
เธออยากทำแบบนั้นไหมล่ะ เอวา ?”
จู่ ๆ คำถามนี้ของเอ ก็ทำให้ลูเซียนิ่งคิดไปเป็นเวลาหนึ่ง
“ฉันคิดว่าบางสิ่งบางอย่าง อาจจะจำเป็นสำหรับบางคน
เพียงแค่ไม่จำเป็นสำหรับฉันตอนนี้เท่านั้นเอง ถ้า ท่าน ที่ว่า ไม่ได้ทำให้ชีวิตของฉันดีขึ้น
ก็คิดเหมือนกันนะว่า เราจะมี สวรรค์ หรือนรก หรือแม้แต่ ท่าน เอาไว้ทำไม ...”
ลูเซียนั่งนิ่งอยู่กลางสวน พลางหยิบชากลิ่นดอกไม้ขึ้นมาจิบไปด้วย
“ถ้าฉันเป็น ท่าน ล่ะ เธอคิดว่าเธอจะเชื่อในฉันไหม ?” เอถามขึ้น ทำให้ลูเซียสะดุ้ง
“ถ้าเธอเป็น ท่าน จริง ๆ และเธอทำให้ฉันมีความสุขแบบที่มานั่งอยู่ที่สวนแห่งนี้
ท่าน ก็น่าจะมีอยู่จริง ๆ นะ และฉันก็จะเชื่อในเธอด้วย เพียงแต่ตอนนี้ ฉันเชื่อเธอ
เพราะเธอเป็นเพื่อนของฉัน และถ้าเธอ เป็น ท่าน จริง ๆ
พวกครูคงไม่ล็อคประตูชั้นใต้ดินนั่นไว้หรอก จริงมั้ย ?”
ลูเซียตอบกลับด้วยความจริงใจและไร้เดียงสาของเธอ แต่นั่นกลับทำให้ทุกอย่างเงียบลง
ไม่มีเสียงของเอ ตอบกลับมาจากที่ไหนเลย …
ลูเซียเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ก่อนที่จะมีลมพัดครั้งใหญ่
เหล่ากลีบดอกไม้ปลิวขึ้นไปบนอากาศ และพระจันทร์ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง
เธอเริ่มสงสัยว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
เธอยืนขึ้นและมองไปยังพระจันทร์ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด
“เอ่อ … ฉันขอโทษนะ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ?” ลูเซียเงยหน้าและถามอีกครั้ง
ท่ามกลางลมที่พัดกระหน่ำ เสียงบางอย่างดังขึ้นเป็นเหมือนบทสวดที่ซ้อนกันไปมา
ทำให้ลูเซียรู้สึกเวียนหัวและตื่นขึ้น
ทันทีที่ลืมตา ลูเซียพบว่าเตียงของเธอถูกล้อมด้วยเหล่าครูและพี่เลี้ยง
ที่กำลังท่องบทสวดบางอย่าง
“เธอทำสัญญากับปีศาจ เธอทำให้ประตูนั่นเปิดออก
ฉันได้ยินเธอพูดคนเดียวพึมพำระหว่างเรียนด้วย มันต้องเป็นคาถาของพวกปีศาจแน่ ๆ”
เสียงของพี่เลี้ยงคนหนึ่งตะโกนขึ้นพลางชี้มาที่ลูเซียอย่างหวาดกลัว
ลูเซียรู้สึกตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามเรียกให้เด็กคนอื่นช่วย
ครูใหญ่รีบมาที่เตียงของลูเซีย พร้อมกับสั่งให้ทุกคนหยุด และอยู่ในความสงบ
ในคืนนั้นลูเซียขึ้นมาที่ห้องพักของครูใหญ่ตามลำพังเพื่อตอบคำถาม ต่าง ๆ
แม้ไม่เต็มใจนัก ลูเซียพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องของเอ และสิ่งที่เธอได้เจอมา
ครูใหญ่ตั้งคำถามมากมาย ตั้งแต่เรื่องที่เธอเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากที่ไปทำความสะอาดตึกเก่า
การที่เส้นผมของเธอยาวเร็วกว่าปกติ และตัดไม่ขาด รวมไปถึงกิ๊บติดผมของเธอ
“กิ๊บติดผมนั่น … เธอได้มาจากไหนเหรอ ลูเซีย”
ครูใหญ่เปลี่ยนท่าทีจากจริงจังและเข้มงวด เป็นความอ่อนโยนแบบที่ลูเซียไม่เคยเห็นมาก่อน
ทำให้เธอเริ่มที่จะเปิดใจเล่าให้ฟัง
“เพื่อนของหนูให้มาค่ะ” ลูเซียก้มหน้าตอบ
“เรเชลเหรอ ? ในตอนที่เรเชลอยู่ ครูไม่เคยเห็นเธอติดมันเลย”
ครูใหญ่ถามพลางยื่นมือไปจับไหล่ลูเซียที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เพื่อนคนนี้คือเพื่อนที่พบกันที่อื่น แต่ว่ามันก็ไม่ผิดใช่ไหมคะ
การติดกิ๊บอันนี้ ทำให้ ท่าน ไม่พอใจเหรอคะ” คำตอบและคำถามของเธอ
ทำให้ครูใหญ่ตกใจในความอัดอั้นของลูเซีย
ครูใหญ่นิ่งไปครู่หนึ่ง จ้องมองกิ๊บติดผม และสังเกตเห็นว่าดวงตาของลูเซีย
มีรูปคล้าย ๆ สามเหลี่ยมปรากฎขึ้น ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า
“บางครั้ง ในโลกที่สิ้นหวัง เป็นธรรมดาที่การมองหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องทำ เพราะไม่ว่าใคร ทั้งเหล่าผู้เยาว์วัยหรือผู้เฒ่าผู้แก่ใด ๆ
ต่างก็ต้องพึ่งพาบางสิ่งที่จะทำให้จิตใจตัวเองไม่สั่นคลอนอยู่แล้วทั้งนั้น
ความเชื่อจึงเป็นเรื่องที่อยู่กับทุกคน และเมื่อมีความเชื่อด้านหนึ่ง
ย่อมมีความเชื่อของอีกด้านหนึ่งเสมอ ครูคิดว่าเธอ อาจจะไม่เหมาะกับที่นี่ก็ได้นะ …
ต่อจากวันนี้ไป ชีวิตของเธออาจจะไม่เหมือนเดิม แล้วพบกันใหม่”
ครูใหญ่พูดพลางยื่นสมุดเล่มหนึ่งให้เธอ มันเป็นสมุดเล่มหนา ที่เนื้อหาข้างในว่างเปล่า
ลูเซียรับมันไว้ด้วยความสงสัย
“พบกันใหม่ ? ครูใหญ่หมายความว่าอย่างไรเหรอคะ ?
แล้วที่ชีวิตของหนูจะไม่เหมือนเดิมคืออะไรคะ ?”
ลูเซียผู้ช่างซักถาม ได้ถามคำถามอีกมากมายใส่ครูใหญ่
แต่จู่ ๆ ครูใหญ่ก็ฟุบลงไปที่โต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นมาด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
และโน้มตัวเข้ามากระซิบที่ข้างหูของลูเซีย
“พรุ่งนี้ เธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว … ที่นี่ไม่เหมาะกับเธออีกต่อไป ได้เวลาเติบโตแล้ว”
เสียงที่คุ้นเคยทำให้ลูเซียประหลาดใจ
“ฉันเอง เอวา และเราจะไปจากที่นี่กัน … ไปเก็บของกันเถอะ”
เสียงของเอ ทำให้ลูเซียทั้งประหลาดใจและดีใจในเวลาเดียวกัน
เพราะเธอนึกว่าจะเสียเพื่อนคนสุดท้ายของเธอไปแล้ว
รุ่งเช้า ลูเซียออกจากห้องของเธอก่อนที่เด็กคนอื่น ๆ จะตื่นด้วยความเงียบ
เธอไม่ลืมที่จะขึ้นไปหาครูใหญ่ที่นั่งรอเธออยู่ก่อนแล้ว
“เราจะได้พบกันอีก เอวา ลูเซีย” ครูใหญ่มองไปที่ลูเซียด้วยสายตาที่เป็นห่วง
ลูเซียยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ครูใหญ่ก่อนที่จะเดินออกจากโรงเรียน
เธอเดินตรงไปยังตึกเก่าที่เปิดเหมือนรอเธออยู่ก่อนแล้ว
ลูเซียเดินผ่านประตูลงไปยังชั้นใต้ดิน ที่นั่นเต็มไปด้วยข้าวของต่าง ๆ มากมาย
เหมือนโกดังเก็บของ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเธอคือ ผ้าผืนสีขาวที่คลุมบางสิ่งบางอย่างอยู่
เธอดึงผ้าคลุมสีขาวนั้นออก และพบกับกระจกบานใหญ่ตรงหน้าเธอ มันสูงใหญ่และสวยงามมาก
เธอมองตัวเองในกระจกก่อนที่จะได้ยินเสียงกระซิบที่คุ้นเคยอยู่ข้างหู
“เธอจะได้พบกับโลกใบใหม่ ไม่ต้องเอาอะไรไปด้วยหรอก
นอกจากตรานั่นเอาแค่สิ่งนั้นไปด้วยก็พอ”
ลูเซียได้ยินแล้วก็สงสัยว่า เอหมายถึงตราอะไร
แต่แล้วเงาของเธอในกระจกก็ได้ตอบคำถามในใจของเธอแล้ว
เงาของลูเซียในกระจกดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากหน้าอกของตัวเอง
มันเป็นตราที่สวยงาม ตรงกลางเป็นเหมือนอัญมณีหกเหลี่ยมสีดำ ก่อนที่จะกำมันไว้ในมือ
ลูเซียก้มลงดูมือของตัวเอง และพบว่าตัวเองมีตรานั้นอยู่ในมือเช่นเดียวกัน
หลังจากเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น ทำให้เธอไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก
ลูเซียเก็บผ้าคลุมกระจกผืนใหญ่สีขาว กับตรานั้นไว้ เดินออกจากชั้นใต้ดิน เดินออกจากตึกเก่า
และเดินออกจากประตูด้านหน้าของโรงเรียนไป
ผ่านสายตาของครูใหญ่ที่ถือกระดาษแผ่นนั้นไว้แน่น
“ ท่านจะแย้มยิ้มอยู่บนฟากฟ้า
ท่านจะตัดสินว่า ทำนองของหัวใจจะเป็นเช่นไร
หากแม้น มิใช่ สิ่งที่ทรงประสงค์
ขอจงก้มหน้าลง และสำนึกในบาปของเจ้าเถิด …
ขอจงเลือกเส้นทางใดได้ ให้ตนเอง
”
“เธอไปแล้วเหรอคะ คุณครูใหญ่ … ?” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งถามครูใหญ่ขึ้น
ทำให้ครูใหญ่สะดุ้งเล็กน้อย
“ถึงเวลาที่ลูเซียจะต้องเติบโต และใช้ชีวิตของตัวเองแล้ว
เป็นไปแบบที่เส้นเวลาได้บันทึกไว้ ใช่ไหมล่ะคะ ? เฮดมิสเทรส ?”
ครูใหญ่ หันมาพูดกับหญิงสาว เธอวางแก้วกาแฟลงบนจานรองในมือ
“ได้เวลานับ 1 แล้ว” หญิงสาวลึกลับยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะหายลับไปกับผงสีรุ้ง